โลกเปลี่ยนวัย ไม่ใช่แค่ป่วยชั่วคราว
เมื่อเราไม่สบาย มีไข้ มีน้ำมูกไหล ปวดหัว เรามักจะคิดเสมอว่า “คงเป็นแค่หวัด อีกไม่นาน พักผ่อนสักหน่อย กินยา แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ” แต่หากมองเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน หลายคนก็มีความคิดในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขามองว่าเศรษฐกิจโลกกำลัง ‘ป่วย’ จากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้การค้าทั่วโลกหดตัว หลายคนจึงคิดว่า “รอให้รัฐบาลอเมริกาเปลี่ยน แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม”
แต่เมื่อได้ย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ของการค้าโลกและกระแสโลกาภิวัตน์อย่างลึกซึ้ง ทำให้เกิดคำถามที่น่าคิดขึ้นมาว่า:
“ถ้าสถานการณ์นี้ไม่ใช่แค่หวัด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถาวรล่ะ?”
“ถ้าโลกไม่ได้แค่ป่วย แต่กำลังเปลี่ยนวัย กำลังเข้าสู่เฟสใหม่ล่ะ?”
บทเรียนจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก
สถานการณ์นี้ชวนให้นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ในช่วงที่ลูกยังเล็ก พ่อแม่คือฮีโร่ในสายตาของพวกเขา ลูกอยากให้พ่อแม่ดูทุกอย่างที่ทำ อยากให้อยู่ใกล้ๆ อยากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
แต่เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น พวกเขาก็เริ่มห่างออกไป พ่อแม่หลายคนมักคิดว่า “ลูกคงมีอะไรในใจ อีกไม่นานเขาก็จะกลับมาเห็นความสำคัญของเราเหมือนเดิม” แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจึงเริ่มเข้าใจว่า… นี่ไม่ใช่แค่ช่วงระยะเวลาชั่วคราว แต่เป็นการสิ้นสุดของ ‘ช่วงโปรโมชัน’ ที่พ่อแม่เคยมีบทบาทสำคัญในชีวิตลูก
ลูกยังรักพ่อแม่เหมือนเดิม แต่ชีวิตของพวกเขากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยใหม่ ซึ่งพ่อแม่จำเป็นต้องปรับบทบาทตัวเองให้เข้ากับความต้องการและการเติบโตของลูกในรูปแบบใหม่
แล้วถ้าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์ในลักษณะเดียวกันล่ะ?
ยุคทองของโลกาภิวัตน์: ยุคที่โลก ‘ใจดี’ กับเรา
คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันเติบโตมาในยุคทองของโลกาภิวัตน์และการค้าโลกที่เฟื่องฟูหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โลกค่อยๆ ฟื้นตัวจากความเสียหายด้วยระเบียบโลกใหม่ที่เรียกว่า “การค้าเสรี” ประเทศต่างๆ ลดภาษีนำเข้า เปิดตลาดให้แก่กัน และสร้างกฎกติกากลางผ่านองค์กรอย่าง GATT และต่อมาคือ WTO
โลกไม่เพียงแค่เชื่อมต่อกันมากขึ้น แต่การค้าระหว่างประเทศยังเติบโตอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในช่วงปี 1970 ถึง 2008 มูลค่าการค้าโลกเติบโตเร็วกว่า GDP โลกเกือบสองเท่า จากที่เคยมีสัดส่วนเพียง 1 ใน 4 ของ GDP โลก เพิ่มขึ้นจนมากกว่าครึ่งหนึ่ง
แม้ว่ายุคทองนี้จะมีด้านมืด ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาแรงงาน แต่ในยุคนั้น ประเทศขนาดเล็กอย่างไทยสามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับเศรษฐกิจโลกได้ กลายเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของสินค้าที่ผู้คนทั่วโลกใช้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกอาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ จอโทรทัศน์ เมนบอร์ดคอมพิวเตอร์ ฯลฯ จนเศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด
จาก Globalisation สู่ Slowbalisation: คลื่นการค้าโลกที่แผ่วลง
แต่คลื่นการค้าโลกที่เคยแรงกล้านี้ เริ่มแผ่วลงอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ปี 2011 ภายหลังจาก ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ หรือวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ก่อนที่สหรัฐอเมริกาและจีนจะเริ่มเปิดศึกสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบ
นักวิเคราะห์บางคนเรียกยุคนี้ว่า “Slowbalisation” หรือยุคโลกาภิวัตน์ชะลอตัว และสงครามการค้าในยุค ‘ลุงตั้ม’ (โดนัลด์ ทรัมป์) ยิ่งซ้ำเติมให้คลื่นนี้หมดแรงเร็วยิ่งขึ้น
จึงอาจกล่าวได้ว่า ยุคทองของการค้าโลกเป็นเพียงช่วงเวลาที่โลก ‘ใจดี’ กับเราเป็นพิเศษ เปรียบเสมือนช่วง ‘โปรโมชัน’ ที่มีวันหมดอายุ การค้าโลกไม่ได้ตายไป แต่กำลังเข้าสู่เฟสใหม่ที่มีพรมแดน รั้ว กำแพง และต้นทุนใหม่ๆ ปรากฏขึ้น
ถ้ายังติดภาพเดิม เราจะพลาดโอกาสในการปรับตัว
หากเรายังยึดติดกับภาพว่าโลกเพียงแค่ ‘ไม่สบายชั่วคราว’ เราอาจจะเลือกที่จะกัดฟันทน และรอคอยวันที่ดีจะกลับมา:
- ธุรกิจอาจเลือกที่จะรอให้ช่วงเวลาเศรษฐกิจผันผวนผ่านพ้นไป
- คนทำงานอาจจะวางแผนชีวิตบนพื้นฐานของโลกใบเดิม
- ผู้นำอาจจะยังคงใช้แผนและยุทธศาสตร์ชุดเดิม
แต่ถ้าโลกกำลังเข้าสู่ ‘วัยใหม่’ อย่างแท้จริง สงครามการค้าอาจเป็นเพียงสัญญาณเตือนว่า “โปรโมชันหมดแล้วนะ ต่อจากนี้เราจะอยู่กันอย่างไรดี?”
ผลกระทบกว้างไกลกว่าที่คิด
นี่เป็นคำถามที่ใหญ่มาก และผลกระทบจะไม่จำกัดอยู่แค่ธุรกิจที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่จะกระทบต่อธุรกิจเกือบทุกประเภท เพราะทุกธุรกิจต่างก็ต้องหาลูกค้าใหม่และตลาดใหม่ การแข่งขันทางธุรกิจเพื่อแย่งชิงลูกค้าก็จะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น แม้กระทั่งในตลาดภายในประเทศไทยเอง
บทใหม่ในโลกหลังยุค ‘โปรโมชัน’
ทุกคนจำเป็นต้องร่วมกันหาคำตอบสำหรับตนเอง เริ่มจากการยอมรับความจริงว่า “โปรโมชันหมดแล้ว”
- “สิ่งที่เคยได้ผลในอดีต อาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไปในอนาคต”
- “สิ่งที่เคยไม่สำคัญ อาจจะกลายเป็นเรื่องสำคัญในวันข้างหน้า”
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าโอกาสจะหมดไป เช่นเดียวกับที่พ่อแม่ต้องค้นหาบทบาทใหม่เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ลูกเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น บางทีคนทำงาน ธุรกิจ หรือแม้กระทั่งประเทศชาติ ก็จำเป็นต้องร่วมกันทำความเข้าใจโลกใบใหม่ว่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ทางออกในยุคหลังโปรโมชัน
ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่าน เราจำเป็นต้องปรับตัวและค้นหาโอกาสใหม่ๆ:
- การหาตลาดใหม่ๆ จะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่พึ่งพาตลาดเดิมที่เคยทำกำไรได้ดี
- การเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ทั้งในระดับรัฐบาลและภาคเอกชน
- การกลับมาลงทุนพัฒนาตนเอง อาจเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเรียนรู้บทบาทใหม่ให้กับตัวเอง องค์กร และประเทศชาติ
แต่ทั้งหมดนี้ต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่เฟสใหม่ของโลกที่เราอาจยังไม่คุ้นเคย และการรอคอยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอีกต่อไป
เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกหลังยุค ‘โปรโมชัน’ ด้วยการปรับตัว สร้างสรรค์ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต