หุ้นหลบภัย ดอกเบี้ยขาขึ้น เซ็กเตอร์ไหนควรหลีกเลี่ยง-เซ็กเตอร์ไหนน่าลงทุน กับ “มงคล พ่วงเภตรา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงในปีนี้ จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นและภาพของการลงทุนในตลาดหุ้นควรจะลงทุนอย่างไร หุ้นเซ็กเตอร์ไหนที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยง-เซ็กเตอร์ไหนน่าลงทุน สัปดาห์นี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับนักวิเคราะห์ “มงคล พ่วงเภตรา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) มานำเสนอ
ในสภาวะที่ดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพสูง รวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศ หุ้นในเซ็กเตอร์ไหนที่นักลงทุนไม่ควรซื้อหรือลงทุนในระยะนี้
หุ้นที่ควรเลี่ยงไปก่อน โดยเฉพาะหุ้นที่ยังไม่ต้องซื้อตอนนี้ก็ได้ หรือว่าบางตัวอาจจะต้องขายทิ้งด้วยซ้ำ ผมว่าอาจจะมีไม่ค่อยเยอะ แต่ถ้าต้องเลือกจริง ๆ ก็จะเป็นหุ้นที่ราคาหุ้นขึ้นมามาก ผมเชื่อว่าเป็นกลุ่มแรก ๆ ชุดแรก ๆ ควรขายออกก่อน แต่จะเป็นการขายเพื่อทำกำไรมากกว่า เพราะถ้าเรามองในประเด็นที่มีคำถามคือเรื่องของเงินเฟ้อ เรื่องของความขัดแย้ง เรื่องดอกเบี้ย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของต่างประเทศล้วน ๆ เลย มันไม่ใช่เรื่องของหุ้นไทย
เพราะฉะนั้นในตลาดหุ้นไทยถ้าถามจริง ๆ ว่าผลกระทบทางตรงมีไม่เยอะ แต่ผลกระทบมันจะเป็นทางอ้อมมากกว่า ซึ่งสิ่งที่เราเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเรื่องของเม็ดเงินที่เคยไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชีย หรือที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอาจจะลดลงบ้าง เพราะฉะนั้นหุ้นที่ราคาขึ้นไปเยอะ ๆ จะเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยสูงจริง ๆ แล้วในตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยมีเท่าไหร่
แต่ถ้าเกิดต้องเลือกจริงๆ มองว่านักลงทุนควรเลี่ยงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับหุ้นที่ต่างชาติถือ เป็นหุ้นที่ถูกกระทบจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เช่น หุ้นที่อยู่อาศัย แต่หุ้นที่อยู่อาศัยถ้าจะกระทบจริง ๆ ก็ต่อเมื่อดอกเบี้ยของประเทศไทยมีการปรับตัวสูงขึ้น แต่เท่าที่ทาง KTBST ประมาณการก็น่าจะอยู่สักประมาณปลายปี 2565 มากกว่าที่จะมีการปรับขึ้น ฉะนั้นในเวลานี้ที่เรื่องดอกเบี้ยนโยบายของไทยเองยังมีผลกระทบไม่เยอะ อันนี้คือมุมมองของหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น เรื่องของเงินเฟ้อเรื่องของความกังวลในต่างประเทศก็จะมีอยู่ประมาณนี้
หุ้นปลอดภัยที่จะช่วยเป็นเกราะป้องกันเงินเฟ้อได้ จะเป็นหุ้นแบบไหน
ซึ่งถ้าเราเลือกลงทุนในเซ็กเตอร์ที่เรียกว่าดูปลอดภัยสำหรับในช่วงเวลานี้ ถ้าเลือกเป็นเซ็กเตอร์จะแบ่งออกเป็น 3 เซ็กเตอร์ โดยเซ็กเตอร์ที่ 1 จะเป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงสูงอันนี้คือเป็นกลุ่มที่มีรายได้ดีและผ่านการทดสอบตัวเองจากปัญหาการพลิกผันมาแล้วก็คือพูดง่าย ๆ ว่าเอาตัวรอดได้ แล้วก็บางตัวจะเป็นพวกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ก็จะเริ่มดีขึ้นหรือไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย อันนี้ก็คือกลุ่มแรก ๆ ที่นักลงทุนมองหา ที่สำคัญของหุ้นกลุ่มนี้คือต้องมีหุ้นเติบโต
ถึงแม้จะมีความมั่นคงสูงแต่ในการลงทุนในตลาดหุ้นเองเนี่ยคนจะให้ความสนใจในเรื่องของการเติบโตควบคู่กันไป หมายความว่าเราจะต้องมองหาหุ้นที่เติบโตสูงควบคู่ไปกับความมั่นคงด้วย กลุ่มที่ 2 ก็จะเป็นหุ้นกลุ่มที่เคยผ่านการถูกกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มาแล้ว พวกกลุ่มท่องเที่ยว พบว่าจากสถานการณ์จากปัจจุบันไปถึงอนาคตผมเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้มีช่องว่างในการปรับขึ้นพอสมควร และอีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นหุ้นในกลุ่มปันผลดี
ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ยืนพื้นอยู่แล้วเพราะว่าในปีนี้เองผมอยากจะเรียนว่าหุ้นหลาย ๆ ตัวมีการจ่ายเงินปันผลในระดับที่ค่อนข้างดี ผลตอบแทน 4-5% มีให้เห็นอยู่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว อันนี้แหละจะเป็นตัวที่เรามองว่าในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนแบบนี้เราควรจะฝากผีฝากไข้ไปกับหุ้นเหล่านี้ จะขอลงไปในตัวหุ้นเลยแล้วกัน ถ้าเป็นกลุ่มแรกที่เป็นหุ้นคุณค่าที่มีความมั่นคงมีการเติบโตและมีอัตราการจ่ายปันผลที่ดี
อย่างกลุ่มที่ 1 จะเป็นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียกได้ว่ามีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างจะคงเส้นคงวา บางตัวมีการเติบโตด้วย ซึ่งตัวที่เราชอบมากที่สุดจะเป็นตัว บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี (GULF) ส่วนตัวที่ 2 จะมองในกลุ่มที่มีรายได้ที่สม่ำเสมออีกรูปแบบหนึ่ง แล้วก็ตัวเองมีอัตราการเติบโตด้วย อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ ในกลุ่มของตัว บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) นอกจากจะได้ประโยชน์จากการเติบโตด้านเทคโนโลยีแล้วเขาก็ยังมีการจับมือร่วมกับกัลฟ์ด้วย ในเรื่องของการทำ Data Center ด้วย อันนี้ก็ถือว่าเป็นหุ้นที่มีความมั่นคงและมีการเติบโตที่ดี
ส่วนกลุ่มที่ 3 จะเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคาร ซึ่งกลุ่มธนาคารเองเป็นกลุ่มที่ผ่านช่วงของการแก้ปัญหาของตัวเองจากการพลิกผันมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันด้านธุรกิจออนไลน์หรือว่าเทคโนโลยี ผมเชื่อว่าจากนี้ไปน่าจะเริ่มดีขึ้น ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ที่เราเลือกก็จะเป็น บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) รวมถึงตัว บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), บมจ.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ก็เป็น 3 ตัวในกลุ่มธนาคารที่เรียกได้ว่าเราให้ความสนใจ แล้วก็ใน 3 ตัวนี้เองผมเชื่อว่าในเรื่องของรูปแบบเงินปันผลเองก็ถือว่าให้ผลตอบแทนในระดับที่ค่อนข้างดี
ส่วนในกลุ่มที่ 2 จะเป็นตัวหุ้นเติบโต ซึ่งเรามองว่าน่าจะใช่จังหวะในช่วงที่ราคาปรับลงมากหรือราคายังไม่แรง ที่ให้ความสนใจจะเป็นในสายดิจิทัลเราให้ความสนใจตัว บมจ.เจ มาร์ท (Jmart) ซึ่งถือว่าเป็นตัวแม่ที่มีการวางระบบตัวเองในดิจิทัลแพลตฟอร์มเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในตัวลูกอย่าง JMT, SINGER ด้วยสองตัวที่ก็เป็นลูกที่ค่อนข้างดีด้วย และอีกกลุ่มจะเป็น EV ผมเชื่อว่าธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตมากจากการสนับสนุนของภาครัฐในปีนี้ เราเลือกตัว บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA), บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)
แนะนำการถือหรือกลยุทธ์ในการลงทุนระยะนี้อย่างไร
ถ้าเกิดนักลงทุนต้องการที่จะลงทุนในปีนี้สำหรับช่วงต่อไปในปี 2565 เรามองหุ้นอันที่ 1 คือที่ต่างประเทศตอนนี้เริ่มมีการพูดถึงกันเยอะมากคือ การเลือกระหว่างหุ้นคุณค่า ซึ่งคือหุ้นที่มีการเติบโต หุ้นที่มีความแข็งแรงและหุ้นที่มีการจ่ายปันผลที่ดี หรือล้อไปกับเศรษฐกิจ อันนี้คือกลุ่มที่ 1 ส่วนกลุ่มที่ 2 ก็จะเป็นกลุ่มที่เรียกว่าเป็นหุ้นเติบโต ซึ่งหุ้นเติบโตหลายคนยังบอกว่าสถานการณ์แบบนี้จะลงทุนดีไหม หุ้นเติบโตจะเป็นกลุ่มที่ถูกขาย แต่ผมกลับมองว่าหุ้นเติบโตบางตัวหรือว่าหุ้นที่มีการเติบโตดี ๆ บางตัว ที่เป็นเซ็กเตอร์ของปีอย่างเช่น ตัวดิจิทัลหรือแม้กระทั่ง EV พวกนี้มีการเติบโตในอนาคตที่ถูกคาดหมายว่าดี ซึ่งกลุ่มพวกนี้ถ้าปรับตัวลงมาหรือว่าลงมาอยู่ในจังหวะที่น่าซื้อ
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance