น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นเวทีปาฐกถาพิเศษในงาน TNN DINNER TALK หัวข้อ “ภารกิจพลิกฟื้นเศรษฐกิจ: Mission Thailand” เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ โดยได้ชี้แจงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับรายงานมูดี้ส์ที่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย พร้อมเน้นย้ำแผนรับมือวิกฤตเศรษฐกิจและแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
มูดี้ส์ – เพียงมุมมอง ไม่ใช่การให้คะแนน
นายกรัฐมนตรีได้อธิบายกรณีที่มูดี้ส์ปรับลดอันดับเครดิตของไทยจากสถานะ “มีเสถียรภาพ” เป็น “มุมมองเชิงลบ” ว่า นี่เป็นเพียง “มุมมอง” ไม่ใช่การ “ให้คะแนน” ประเทศ การปรับมุมมองนี้สะท้อนว่าศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยอาจลดน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยขาดความเชื่อมั่น
“ต้องเข้าใจว่านี่เป็นเพียงมุมมอง ไม่ใช่การให้คะแนน ประเทศหลายแห่งถูกปรับมุมมองเช่นเดียวกัน รวมถึงกัมพูชา จอร์เจีย และโรมาเนีย เนื่องจากปัจจัยเรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก” นายกฯ กล่าว พร้อมเสริมว่า ประเทศไทยเคยถูกปรับลดมุมมองมาแล้วในปี 2551 และสามารถกลับมาเป็น “มีเสถียรภาพ” ได้อีกครั้ง
ปัจจัยที่มูดี้ส์นำมาพิจารณา
นายกฯ อธิบายว่า มูดี้ส์พิจารณาปัจจัยหลายประการ ได้แก่:
- กำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อนโยบายเศรษฐกิจไทย
- ภาระหนี้ต่อเนื่องของประเทศ
- ความขัดแย้งและเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ
ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอยุทธศาสตร์สำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย:
1. การเตรียมพร้อมรับมือกำแพงภาษีของสหรัฐฯ
“รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เรากำลังเจรจาทั้งทางตรงและทางอ้อมกับสหรัฐฯ และร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง” นายกฯ ย้ำ พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลกำลังทำงานอย่างเข้มข้นร่วมกับทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
2. มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
รัฐบาลกำลังลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์มูลค่ากว่า 243,308 ล้านบาท และสนับสนุนการลงทุนของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google เพื่อสร้างการจ้างงานใหม่และเพิ่มศักยภาพให้คนไทย
3. เร่งการลงทุนภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายกฯ เปิดเผยว่า รัฐบาลได้เร่งการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นถึง 72% มากกว่าที่ผ่านมาในช่วง 10 ปี โดยได้อนุมัติงบประมาณให้กระทรวงต่างๆ เพื่อนำเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
“เราต้องทำให้มั่นใจว่าจีดีพีของเราจะเติบโตขึ้น 3-4% อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ปีนี้หายไป ปีหน้าขึ้นมา การเติบโตต้องต่อเนื่องและเต็มที่” นายกฯ กล่าว
4. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมไทยสู่โลก
รัฐบาลมุ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบพุ่งเป้า เพื่อเชื่อมโยงไทยกับโลก ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ การพัฒนาสนามบินและท่าเรือ รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค
5. ชี้แจงประเด็น Entertainment Complex
นายกฯ ได้ชี้แจงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโครงการ Entertainment Complex ว่า ไม่ใช่เพียงกาสิโน แต่เป็นโครงการที่มีพื้นที่กาสิโนไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยส่วนใหญ่ประกอบด้วยพื้นที่จัดคอนเสิร์ต สถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว สวนน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
“เราสร้าง Entertainment Complex เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ประเทศ โดยรัฐบาลไม่ต้องลงทุน เป็นเอกชนและเอกชนต่างชาติเข้ามาลงทุนทั้งหมด ซึ่งรัฐเก็บภาษีได้” นายกฯ ชี้แจง พร้อมเน้นย้ำว่าจะมีการวางมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศ รวมถึงการตรวจสอบประวัติและหลักทรัพย์ของผู้เข้าใช้บริการ
6. สนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์และการท่องเที่ยว
รัฐบาลมุ่งผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยสนับสนุนการผลิตรถ Hybrid และรถไฟฟ้า (EV) พร้อมกับส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง ผ่านนโยบายฟรีวีซ่า และการร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยว
7. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์
นายกฯ ย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาคน โดยเฉพาะโครงการโอดอส ซึ่งให้ทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะของคนไทยให้สามารถทำงานในธุรกิจใหม่และพร้อมรับมือกับอนาคตได้
ผลงานและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรีเผยว่า แม้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตเพียง 2.5% แต่ในไตรมาสสุดท้ายมีการขยายตัวถึง 3.2% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มเห็นผล
“แม้ว่าปีนี้จะมีอุปสรรคทั้งแผ่นดินไหวและกำแพงภาษี แต่รัฐบาลได้หาทางออกและพยายามที่จะหารือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อหาคำตอบที่เป็นประโยชน์” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย
นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลมุ่งมั่นในการสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของประเทศไทย